Skip to main content
Stocks Still Strong as US Government Shutdown Ends

ตลาดหุ้นยังแข็งแกร่งในขณะที่การชัตดาวน์สิ้นสุดลง

จ., 11/17/2025 - 07:56

หลังจากดัชนีหุ้นสหรัฐปรับตัวลงช่วงเวลาสั้น ๆ จากมาตรการภาษีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนของทรัมป์ในวันปลดแอก ตลาดก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและกลับมาสวนทางกับความคาดหวัง โดยปรับตัวขึ้นเกือบ 30% ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าที่หนักหน่วง จากนั้นก็ตามมาด้วยการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐครั้งล่าสุด ซึ่งหลายคนคิดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนของการปรับฐานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เมื่อการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐที่กินเวลายาวนานเป็นประวัติการณ์ถึง 43 วันกำลังจะสิ้นสุดลง ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ยังไม่อาจฉุดตลาดหุ้นกลับสู่ความเป็นจริงได้ ดัชนีตัวหลักของสหรัฐอย่าง S&P 500 และ Nasdaq 100 ต่างเคลื่อนไปใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 6,851 จุดและ 25,517 จุดตามลำดับ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน สภาคองเกรสได้ลงมติในวันที่ 12 พฤศจิกายน ผ่านกฎหมายเปิดทำการหน่วยงานรัฐอีกครั้งไปยังวุฒิสภา ซึ่งเป็นข่าวดีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยฟื้นฟูบรรยากาศให้กับตลาดสหรัฐทั้งหมดอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากเหตุหยุดชะงักครั้งนี้ยังไม่ปรากฏชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เฟดเตรียมตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเดือนธันวาคม และบริษัทสหรัฐเริ่มทยอยประกาศผลประกอบการซึ่งหลายแห่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ค่อยดีนัก สงครามการค้ากับจีน ตลาดแรงงานที่อ่อนแรง และความเสี่ยงจากหุ้นกลุ่ม AI และเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงเกินจริงอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฉุดตลาดลงได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสวนทางกับทุกความคาดหมายได้ ดังนั้น ในขณะที่เรากำลังพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ คำถามคือ: ตลาดหุ้นสหรัฐจะอยู่ในสภาวะไร้เหตุผลต่อไปได้นานแค่ไหน และมันอาจเลี่ยงการปรับฐานได้หรือไม่?

กลับมาทำงานต่อ

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเรียกมาตรการนี้ว่า “ชัยชนะครั้งใหญ่” และฟิวเจอร์สของ S&P 500 และ Nasdaq 100 ได้ปรับขึ้น 0.4% และ 0.6% ตามลำดับก่อนการลงมติเมื่อคืนนี้ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปิดหน่วยงานรัฐครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐไปแล้วอย่างมาก สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐคาดว่าการปิดหน่วยงานรัฐ 6 สัปดาห์นี้จะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาส 4 ลงถึง 1.5% ซึ่งถือว่าหนักมากในช่วงฤดูการจับจ่ายส่งท้ายปี นอกจากนี้การไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจจากหน่วยงานรัฐตลอดเดือนครึ่งที่ผ่านมา ทำให้เฟดไม่สามารถติดตามเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญอื่น ๆ ได้ และสิ่งที่เราได้รับที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยดีนัก โดยข้อมูลความถี่สูงล่าสุดของ ADP ได้ชี้ว่าตลาดแรงงานเอกชนหดตัวในช่วงปลายเดือนตุลาคม ด้วยแนวโน้มการรอและประเมินสถานการณ์ของเฟด โอกาสการลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีจะลดลงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เครื่องมือ CME's FedWatch ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของตลาด โดยให้น้ำหนักมากกว่า 50% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยสู่กรอบ 350–375 bps ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจเป็นการผสานกับ Santa Claus rally ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐทำจุดสูงสุดใหม่ก่อนสิ้นปีได้

อย่างน้อยที่สุด เราอาจกล่าวได้ว่าผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากการปิดหน่วยงานรัฐได้ถูกสะท้อนไปในตลาดไปแล้ว เพราะตามหลักการลงทุน ตลาดหุ้นถือเป็น “กลไกคาดการณ์ล่วงหน้า” และโดยปกติจะนำหน้าตลาดจริงในจุดบนสุดและล่างสุด ดังนั้น หากดัชนีหุ้นสหรัฐยังไม่ได้ร่วงลงหนักในช่วงการปิดหน่วยงานรัฐ มันก็มีโอกาสน้อยที่จะร่วงลงหนักหลังจากนั้น

สัญญาณของช่วงเวลา

ไม่ใช่เรื่องลับที่ว่าดอลลาร์สหรัฐกำลังอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยสูญเสียมูลค่าเกือบ 20% เทียบกับสกุลเงินหลักของยุโรปตั้งแต่ปี 2022 ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS และ Global South ต่างลดการถือดอลลาร์และเพิ่มการถือทองคำ Bitcoin และแม้แต่สกุลเงินเฟียตอย่างเงินหยวน จากบทสัมภาษณ์ล่าสุด Ruchir Sharma ซึ่งเป็นประธานของ Rockefeller Capital กล่าวว่า เขามองเห็นว่าผลงานของตลาดสหรัฐที่เหนือตลาดโลกกำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2025 ในขณะที่นักลงทุนเริ่ม “ลงโทษ” สหรัฐจากปัญหาการขาดดุลที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แบบสำรวจของนักลงทุนทั่วโลกจาก Bank of America เดือนมิถุนายนพบว่า มากกว่าครึ่งคาดว่าหุ้นต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนเองก็เริ่มแสดงท่าทีตอบโต้สหรัฐ โดยล่าสุดได้การประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อตลาดสหรัฐที่พึ่งพาเทคโนโลยีอย่างสูงในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง

NVIDIA ได้ปรับตัวลงกว่า 5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาหลังมีการปรับการคาดการณ์ของปีหน้าที่ทำให้ตลาดผิดหวัง นักวิเคราะห์บางส่วนเปรียบภาวะหุ้นกลุ่ม AI ปัจจุบันว่าคล้ายฟองสบู่ดอทคอมในช่วงต้นปี 2000 หากเกิดการแตกของฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มนี้ ผลกระทบต่อ Nasdaq 100 และ S&P 500 จะรุนแรงมาก เนื่องจากทั้งสองดัชนีมีน้ำหนักบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทที่พึ่งพาบริษัทเหล่านี้สูงมาก แต่มันไม่ใช่เฉพาะ AI เท่านั้น มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก Goldman Sachs ชี้ว่าอัตรากำไรสุทธิและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของหุ้นในดัชนี S&P 500 อยู่สูงจนทำให้การเติบโตของ EPS อย่างมีนัยสำคัญเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของฟองสบู่ในครั้งนี้คือการผสมผสานกันระหว่างอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกับผลตอบแทนเงินฝากที่ต่ำซึ่งต่างจากวัฏจักรฟองสบู่ในอดีต หากต้องการรักษามูลค่าความมั่งคั่ง ผู้คนจำเป็นต้องเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจจริงซึ่งอาจทำให้มูลค่าหุ้นที่สูงผิดปกตินี้ยิ่งปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้อีก

เทรด CFD ของหุ้นและอื่นๆ ด้วย Libertex

Libertex มี CFD ให้เลือกมากมาย เริ่มตั้งแต่โลหะ ETF และฟอเร็กซ์ ไปจนถึงดัชนี คริปโต และหุ้นรายตัว นอกเหนือจากดัชนีตัวหลักของสหรัฐฯ เช่น Nasdaq 100 และ S&P 500 แล้ว Libertex ยังมีโพซิชั่นแบบทั้ง long และ short ของ CFD หุ้นรายตัวด้วย เช่น Intel และ NVIDIA หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีวันนี้ โปรดไปที่ www.libertex.org/signup

สัมผัสกับความน่าตื่นเต้นของการเทรด!

ลงทะเบียนเปิดบัญชีเดโมกับ Libertex และมาเรียนรู้วิธีการเทรด